สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างไรให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปกันเถอะค่ะ
เริ่มแรกต้องทราบก่อนว่าญี่ปุ่นก็แบ่งภูมิภาค เหมือน ใต้ ออก ตก เหมือนเมืองไทยเลย เพียงแค่ภาษาเรียกต่างกันเท่านั้นเองค่ะ วันนี้เราจะพามาเที่ยวที่ภาคกลาง หรือนั่นก็คือเมืองหลวงของญี่ปุ่นกันค่ะ แน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นคือโตเกียวค่ะ
การเดินทางไปโตเกียวนั้นช่างง่ายแสนง่าย มีเครื่องบินตรงจากเมืองไทยมากมาย ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง หรือแม้แต่บินตรงจากเชียงใหญ่เลยค่ะ แล้วลงสนามบินนาริตะ หรือสนามบินฮาเนดะ ก็ได้ค่ะ
มีหลายคนถามว่าถ้าจะไปโตเกียวเดินทางลงสนามบินอะไรดี ต้องตอบว่า ทั้ง 2 สนามบินสามารถเข้าโตเกียวได้หมดเลยค่ะ ทั้ง Ueno Shinjuku Kanagawa Ikebukuro Tokyo ทั้ง 2 สนามบินมีรถไฟวิ่งตรงค่ะนั่งรถจากอุเอโนะมาประมาณ 30 นาที มาที่สถานี Shibamata 柴又 เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ มีทางเข้า-ออกทางเดียวค่ะ เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟแล้วเราจะเจอกับรูปปั้นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งเป็นจุดขายของสถานที่แห่งนี้ค่ะ
“ชิบามาตะ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเนื่องจากเมื่อ 30-40 ปี มีละครเรื่อง Otoko wa sturai yo 男はつらいよหรือแปลเป็นไทยคือ เกิดเป็นผู้ชายมันเหนื่อยนะ เป็นซี่รีย์ยาวหลายภาคเลย ยาวไม่มาก แค่ถ่ายทำกันประมาณ 30 ปี เท่านั้นเอง และนักแสดงก็เล่นยาวมาตลอด 30 ปีเลย เล่นจนนักแสดงหลักเสียชีวิต โดยสถานที่ถ่ายทำหลักๆ คือสถานที่แห่งนี้ค่ะ นอกจากจะเต็มไปด้วยเรื่องราวละละครซี่รีย์เรื่องนี้แล้ว ยังมีตลาดโบราณที่เรียงรายเต็ม สองฝั่งข้างทางให้เราได้เพลิดเพลินไปกับสินค้าโบราณ ของเล่นโบราณญี่ปุ่น หรือแม้แต่ของกิน ที่มีขายตลอดทั้งทาง เมื่อเราเดินตรงไปจนสุดทางจะเจอกับศาลเจ้าให้สักการะกันอีกด้วย ด้านในจะมีองค์เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ตั้งอยู่ ให้สักการะ รวมถึงด้านในศาลเจ้าจะมีสวนญี่ปุ่นที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เข้าไปชื่นชมอีกด้วย แต่จะมีค่าเข้าชมสวนประมาณ 300 เยนค่ะ ส่วนบริเวณศาลเจ้าด้านนอก ก็จะมีเครื่องราง ลายน่ารักๆ มากมาย ให้เช่าด้วยค่ะ มีทั้งเครื่องรางสำหรับโชคลาภ การเรียน สุขภาพร่างกายแข็งแรง หรือแม้แต่ขอให้เดินทางปลอดภัย
หลังจากที่เราไหว้พระกันเรียบร้อยแล้ว เดินไปทางด้านหลังศาลเจ้าประมาณ 15 นาทีจะมีพิพิธภัณฑ์โทระซัง หรือพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับซี่รีย์ที่บอกค่ะ ซึ่งภายในนอกจากจะมีบรรยายกาศของการถ่ายทำซี่รีย์เรื่องนี้แล้ว ยังมีบรรยายกาศของญี่ปุ่นสมัยโบราณอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าเขาไปแล้วเหมือนเราหลุดเข้าไปอีกยุคสมัยหนึ่งเลยค่ะ
เมื่อเราเดินชมพิพิธภณฑ์แล้ว ก็นั่งรถไฟสายเดิม สาย Keisei ไปลุยต่อกันที่ตลาด Sugamo ค่ะ โดยนั่งรถไฟมาลงสถานี Machiya แล้วเปลี่ยนสายรถไฟมาเป็นการนั่งรถรางสาย Sakura Tram จะให้อารมณ์เป็นเหมือนเรานั่งรถไฟ ผมสๆ กับนั่งรสเมล์เลยค่ะ ตลอดทางคือ 170 เยนค่ะ จ่ายเงินบนรถเหมือนรถเมล์หรือถ้าใครมีพวก IC CARD ก็สามารถใช้จ่ายได้เหมือนกันค่ะ
โดยตลาด Sugamo จะต้องนั่งรถไปลงที่สถานี Koshizukaแล้วเดินแค่ 1 นาทีก็จะเจอกับทางเข้าตลาดเลยค่ะ เมื่อเราเดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับร้านค้าขายของ ร้านโชว์ห่วย หรือร้านขายของกินเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แน่นอนว่าเป็นอีก หนึ่งตลาดที่ทำให้เราหมดตัวได้ไม่รู้เรื่องเลย ทั้งของกิน ของช็อป มากมายละลานตาค่ะ ซึ่งสถานีนี้จะมีมาสคอสเป็นตัวเป็ดค่ะ เพราะคำว่า Sugamo แปลตรงๆ แปลว่ารังเป็ด จึงมีเป็ดมากมายไปหมดเลย เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็เพลินๆ ค่ะ ได้อีกมุม อีกหนึ่งอารมณ์ของวีถีชีวิตชาวญี่ปุ่นดีค่ะ
หลังกจากที่เราแวะเดินเที่ยวและถ่ายรูปที่ย่านซูกาโม่แล้ว หากเราเดินมาตามทางจะทะลุเจอสถานีรถไฟ JR สถานีซูกาโม่เลยค่ะ แน่นอนว่าเราสามารถนั่งรถไฟกลับไปยังที่พักคือที่อุเอโนะได้เลย
จากซูกาโม่ไปอุเอโนะใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง เมื่อมาถึงอุเอโนะ แน่นอนว่าต้องห้ามพลาดตลาดอาเมโยโกะ แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของคนไทย ทั้งตึก AbAb ที่ขายเสื้อผ้าลดราคาตลอดปี ร้าน ABC March ที่ขายรองเท้าผ้าใบของแท้มากมาย ร้านขายเครื่องสำอางค์ หรือที่เราเรียกติดปากกันว่าร้านขายยา ใครที่กำลังคิดจะซื้อเครื่องสำอางค์ โลชั่น หรือของฝาก แนะนำว่ามาซื้อที่อุเอโนะที่เดียวจบค่ะ หรือถ้าใครเริ่มหิวข้าวแล้ว ก็แนะนำว่าให้มาหาข้าวเย็นกินที่นี่ก็ไม่เลวค่ะ เพราะที่นี่มีทั้งซูชิ ร้านปิ้งย่าง อิซากายะ หรือร้านเหล้าแบบญี่ปุ่น ราเมง โซบะ เรียกได้ว่าแค่ย่านอุเอโนะย่านเดียว มีของกินให้เลือกกินได้แบบจุไปเลย